ความรู้สึกคือพลังงาน

เราอาจไม่สามารถมองเห็นความคิดหรือจับต้องความรู้สึกได้ แต่นั่นไม่ได้แปลว่ามันไม่มีพลัง เพราะในความเป็นจริง ทั้งความคิดและความรู้สึกคือรูปแบบหนึ่งของพลังงานที่ทรงอิทธิพลอย่างยิ่ง


ความคิดเพียงหนึ่งครั้งอาจเปลี่ยนแปลงเส้นทางทั้งชีวิต ส่วนความรู้สึกบางอย่างไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน ก็อาจหลงเหลืออยู่กับเราตลอดชั่วชีวิต ทั้งสองอย่างนี้ส่งผลต่อการกระทำ คำพูด สุขภาพ ความสัมพันธ์ และแม้แต่โลกที่เราอาศัยอยู่ มนุษย์ทุกคนคือสนามพลังงานเคลื่อนไหว

เราส่งสัญญาณออกไปโดยไม่รู้ตัว ผ่านสายตา น้ำเสียง การกระทำ แม้แต่ความเงียบ และพลังเหล่านั้นสามารถดึงดูดหรือผลักไสบางสิ่งเข้ามาในชีวิตเราได้อย่างไม่รู้ตัว


ดังนั้นความคิดและความรู้สึกจึงไม่ใช่เรื่องภายใน แต่เป็นคลื่นของพลังที่เดินทางออกไปสู่โลกและสะท้อนกลับมา เหมือนหินที่ตกลงในน้ำ เกิดเป็นระลอกที่ส่งผลไกลกว่าที่ตาเห็น เมื่อเราเริ่มสังเกตว่าเรากำลังคิดอะไร กำลังรู้สึกอย่างไร เรากำลังเริ่มควบคุมพลังงานชีวิตของเราอย่างแท้จริง


ไม่ต้องพยายามเป็นบวกตลอดเวลา แต่จงซื่อสัตย์กับความรู้สึกและรู้เท่าทันมัน

เพราะการยอมรับตัวเองก็เป็นพลังงานชนิดหนึ่งที่อ่อนโยนและเข้มแข็งในเวลาเดียวกัน ความคิดและความรู้สึกของคุณมีพลังมากกว่าที่คุณคิด และมันสามารถเปลี่ยนแปลงโลกภายในคุณได้เสมอ

องค์ประกอบความเป็นเรา

ในระดับพลังงาน

เมื่อความรู้สึกคือพลังงาน เราจำเป็นต้องรู้จักองค์ประกอบความเป็นเราในระดับพลังงาน ไม่ใช่แค่ในระดับร่างกายหรือความคิด แต่ลึกกว่านั้น ได้แก่:



  • ร่างกาย 2 ระดับ (Levels of Body) และสนามพลังงาน (Energetic Field)
  • พลังงาน (Forces)
  • การเลี้ยงดู ประสบการณ์ชีวิต และประสบการณ์ก่อนคลอด (Parenting, Personal & Pre-Birth Experience)
  • จิตในหลายระดับ (Levels of Mind)
  • มรดกทางพลังงานจากบรรพบุรุษและมวลรวม ที่เรารับมาโดยที่เราไม่รู้ตัว (Ancestral Karma & Collective Unconscious)

ร่างกาย 2 ระดับ

ร่างกายของมนุษย์ไม่ได้ประกอบขึ้นเพียงแค่ร่างกายทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังมีกายพลังงานซึ่งเป็นเสมือนแหล่งเก็บข้อมูล การตีความ และเรื่องเล่าที่สืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ และเมื่อใดที่เราเริ่มเล่าเรื่องราวของตัวเอง เมื่อนั้นเราก็กำลังสร้างก้อนพลังงานใหม่ ซึ่งส่งผลต่อสนามพลังงานรอบตัวเราด้วยเช่นกัน


ร่างกาย 2 ระดับ ประกอบด้วย


1. ร่างกายกายภาพ (Physical Body)


คือชั้นร่างกายพลังงานที่หนาแน่นที่สุด เป็นจุดเริ่มต้นของการรับรู้พลังงานทั้งหมด ร่างกายนี้รับประสบการณ์ผ่านประสาทสัมผัส ทำงานผ่านกล้ามเนื้อ กระดูก และระบบต่าง ๆในร่างกาย ในเชิงพลังงานร่างกายนี้คือภาชนะที่พลังงานไหลผ่าน ความตึงเครียด ปวดเมื่อย หรือล้าเรื้อรัง มักสะท้อนถึงพลังงานที่ติดค้างในระดับอารมณ์หรือจิตใจ


2. ร่างกายพลังงาน (Energetic Body) ประกอบด้วยร่างกาย 3 ชั้น ได้แก่


  • ร่างกายอารมณ์ (Emotional Body) คือชั้นร่างกายที่สะท้อนการรับรู้ของเราในขณะนั้นๆ หากเรากดทับอารมณ์ไม่ให้คลี่ออก หรืออารมณ์คลี่ออกได้ไม่สุด ก้อนพลังงานนี้จะถูกเก็บไว้และจะส่งอิทธิพลต่อเราโดยที่เราไม่รู้ตัว


  • ร่างกายความคิด (Mental Body) คือชั้นร่างกายที่บรรจุ ความเชื่อ แนวคิด การตีความ และเรื่องเล่าต่างๆไว้ ยิ่งเราเผชิญกับเหตุการณ์ สิ่งของ หรือคนที่กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกเข้มข้น ความคิดเราจะยิ่งวิ่งเพื่อหาทางออกจากความรู้สึกนี้


  • ร่างกายจิตวิญญาณ (Spiritual Body) คือชั้นร่างกายที่เชื่อมโยงกับจิตเหนือสำนึก เป็นชั้นพลังงานละเอียดสูงสุด เชื่อมโยงกับสัญชาตญาณ ความเข้าใจภายใน และเสียงของตัวตนแท้

สนามพลังงาน (Energetic Field)


คือสนามแม่เหล็กของร่างกายมนุษย์ เป็นการแผ่กระจายพลังงานจากแหล่งกำเนิดภายในร่างกาย มีอวัยวะ 2 ส่วนที่สามารถสร้างสนามแม่เหล็กได้ ได้แก่


  • สนามแม่เหล็กของสมอง  เกิดจากการทำงานของเซลล์ประสาท แผ่ขยายได้ในระดับเซนติเมตร (ในสมองเท่านั้น) มีกำลังอ่อนกว่าหัวใจ สนามแม่เหล็กของสมองเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มีความไม่คงที่และซับซ้อนสูง เกี่ยวข้องกับอารมณ์อย่างมากโดยผ่านการประมวลทางความคิด


  • สนามแม่เหล็กของหัวใจ  เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจบีบตัว มีกำลังแรงกว่าสมอง 100 เท่า แผ่ขยายได้ 1-3 เมตร มีความเกี่ยวข้องกับอารมณ์โดยตรง


สนามแม่เหล็กที่หัวใจสร้างขึ้นมีความแรงมากที่สุดในร่างกาย สามารถแผ่ออกไปนอกตัวเราได้ถึงหลายเมตร และยังมีผลต่อบุคคลรอบข้างอย่างละเอียดอ่อน เช่น


เรามักรู้สึกผ่อนคลายเมื่อเราอยู่ใกล้คนที่ใจสงบ นั่นคือผลของการประสานกันระหว่างสนามแม่เหล็กของหัวใจ เป็นสภาวะที่รูปแบบการเต้นของหัวใจมีความราบเรียบ เป็นคลื่นสม่ำเสมอ และต่อเนื่อง ซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อเราอยู่ในสภาวะที่สงบ ผ่อนคลาย หรือมีอารมณ์เชิงบวก เช่น ความรัก ความรู้สึกขอบคุณ ความกตัญญู เป็นต้น การอยู่ใกล้คนที่มีคลื่นการเต้นของหัวใจที่ราบเรียบส่งผลให้เราได้รับคลื่นความสงบไปด้วย


ในขณะที่เราอาจรู้สึกได้ทันทีว่าบรรยากาศทั้งห้องเปลี่ยนไปเมื่อผู้จัดการเดินเข้ามาในห้องประชุมด้วยสีหน้าเครียดและท่าทางหงุดหงิด แม้จะยังไม่พูดอะไรแต่ทีมงานทุกคนก็รู้สึกเกร็ง เครียด และไม่กล้าพูด นี่คือรูปแบบของสนามแม่เหล็กที่ส่งคลื่นพลังงานไม่เป็นระเบียบ หยาบ กระจัดกระจาย ไม่เป็นจังหวะ และมีลักษณะวุ่นวาย ไปรบกวนผู้คนรอบข้าง ซึ่งเราสามารถรับรู้ได้ด้วยความรู้สึก

พลังงาน (Forces)


ในมิตินี้หมายถึงพลังงานละเอียดที่เคลื่อนไหวอยู่ทุกที่ มีผลต่อร่างกายทั้ง 4 ระดับของมนุษย์ ได้แก่ กายภาพ กายอารมณ์ กายความคิด และกายจิตวิญญาณ พลังงานเหล่านี้ไม่สามารถเห็นได้วยตาเปล่า แต่สามารถรับรู้ได้ผ่านความคิด อารมณ์ ความรู้สึกและพฤติกรรมของเรา ประกอบด้วยพลังงาน 2 ระดับ 5 ประเภท ดังนี้


พลังงานระดับตัวตนที่แท้จริง (Being Force Level)


คือ พลังงานที่มาจากการเป็นคุณจริงๆเมื่อตัดโลกภายนอกและบุคคลอื่นออกทั้งหมด มีพลังงาน 2 ประเภทที่อยู่ในระดับนี้ ได้แก่


  • พลังงานแห่งการเชื่อมโยงกับสรรพสิ่ง (Being Force) คือ พลังงานบริสุทธิ์ที่เกิดจากการเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับแหล่งพลังงานสูงสุดหรือ "ความสมบูรณ์แห่งสรรพสิ่ง (Wholeness)" ซึ่งหลายวัฒนธรรมอาจเรียกแตกต่างกันไป เช่น จักรวาล (the Universe) พระเจ้า (God) หรือพระแม่แห่งจิตวิญญาณ (Divine Mother) เป็นต้น เป็นพลังงานที่มีพลังระดับการเปลี่ยนแปลงสูง ผู้คนรอบข้างสามารถรู้สึกถึงพลังงานนี้ได้จากคนที่เข้าถึงมัน พลังงานที่อยู่ในระดับนี้ ได้แก่ ความรัก (Love) ความวางใจ (Trust) และ ความหวัง (Hope)


  • พลังงานสะท้อนการหลุดจากการเชื่อมโยง (Beingless Force) คือ พลังงานที่ถูกแปรจากพลังงานการเชื่อมโยงกับสรรพสิ่งด้วยความไม่รู้ตัว (Unconsciousnes) จากตัวตนที่เรายึดถือ ทำให้สูญเสียการเชื่อมโยงกับสรรพสิ่ง (Wholeness) พลังงานนี้จะทำให้เรารู้สึกหนัก เหนื่อย อ่อนล้าพลังงานที่อยู่ในระดับนี้ ได้แก่ ความกลัว (Fear) ความสงสัย (Doubt) ความหมดหวัง (Hopelessness)

พลังงานระดับพลังชีวิต (Life Force Level)


คือ พลังงานที่เกิดจากการพบกันของพลังงานระดับตัวตนที่แท้จริง (Being Force Level) ขณะที่ดำรงอยู่ในโลกภายนอก และสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงสภาวะการดำรงอยู่ของเราในขณะนั้นๆ พลังงาน 3 ประเภทที่อยู่ในระดับนี้ ได้แก่


  • พลังแห่งการดำรงอยู่ (Beingness Force) คือ พลังชีวิตระดับสูง ที่เกิดจากความสามารถในการเข้าถึงพลังงานแห่งการเชื่อมโยงสรรพสิ่ง แม้สถานการณ์หรือเรื่องราวในขณะนั้นจะยุ่งเหยิง มีพลังงานหลายชนิดที่อยู่ในระดับนี้ เช่น ความสงบ (Peaceful) ความสุขภายใน (Joy) ความรัก (Love) เป็นต้น


  • พลังชีวิต (Life Force) คือ พลังที่ผลักดันให้เราเผชิญเรื่องราวและก้าวไปข้างหน้าต่อไปได้ มักมีองค์ประกอบของพลังงานแห่งการเชื่อมโยงสรรพสิ่ง และพลังงานสะท้อนการหลุดจากการเชื่อมโยงปะปนกัน ตัวอย่างเช่น การยอมรับ (Acceptance) การปลดปล่อย (Release) การให้อภัย (Forgiveness) เป็นต้น



  • พลังแห่งการปิดกั้นชีวิต (Lifeless Force) คือ พลังชีวิตระดับต่ำ เป็นพลังงานที่กัดกร่อนบั่นทอนชีวิต เกิดจากการมีอยู่ของพลังงานสะท้อนการหลุดจากการเชื่อมโยงในระดับสูงในบุคคลนั้นๆในชั่วขณะนั้นๆ พลังงานนี้เกิดขึ้นเพื่อเปิดช่องทางให้เราได้กลับมาเชื่อมโยงกับสรรพสิ่ง พลังงานที่อยู่ในระดับนี้ได้แก่ ความละอายในการเป็นตัวเอง (Shame) ความรู้สึกผิด (Guilt) ความกลัว (Fear) ความโศกเศร้า (Grief) เป็นต้น

 

การเลี้ยงดู ประสบการณ์ชีวิต และประสบการณ์ก่อนคลอด (Parenting, Personal & Pre-Birth Experience)

การเลี้ยงดู (Parenting)


ตั้งแต่เด็กเราดูดซับพลังงาน คำพูด อารมณ์ และความเชื่อจากพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดู โดยที่เราไม่มีเกราะป้องกัน และนี่คือรากฐานของโครงสร้างความเป็นตัวตนในวัยต้น เด็กไม่ได้เรียนรู้จากคำสอนที่สะท้อนแนวคิดหรือความเชื่อของครอบครัวเพียงอย่างเดียว แต่ซึมซับพลังงาน อารมณ์และรูปแบบความสัมพันธ์จากพ่อแม่หรือผู้ดูแล หากเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัยทางอารมณ์ เด็กจะพัฒนาระบบป้องกันตัว เช่น ตัวตนที่แข็งกร้าวจากการไม่กล้าแสดงความรู้สึก ตัวตนที่แบกความรับผิดชอบทุกอย่างจากความรู้สึกผิดง่าย ตัวตนที่พยายามทำให้คนอื่นพอใจตลอดเวลาจากความกลัวการถูกปฏิเสธหรือไม่เป็นที่รัก เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะฝังลึกใน จิตใต้สำนึก (subconscious) และกลายเป็นรูปแบบอัตโนมัติในชีวิต


ประสบการณ์ชีวิต (Personal Experience)


คือชุดข้อมูลที่เราสะสมระหว่างการเติบโต ทุกเหตุการณ์ที่เราประมวลผลและแปะป้ายว่าดีหรือร้ายทิ้งรอยพิมพ์ทางพลังงานไว้ในร่างกายภาพ อารมณ์ ความคิด และจิตวิญญาณ การแปะป้ายว่าเป็นความล้มเหลว การถูกทรยศ ความสูญเสีย หรือแม้แต่ความสำเร็จ ล้วนเปลี่ยนโครงสร้างตัวตนของเราไปเรื่อยๆ หากเราไม่ตระหนักรู้ ความรู้สึกจากประสบการณ์เหล่านี้อาจกลายเป็นสิ่งที่ขวางกั้นการเติบโตในชีวิต


ประสบการณ์ก่อนคลอด (Pre-Birth Experience)


คือจุดเริ่มต้นของร่างกายพลังงานและจิตใต้สำนึกลึกที่สุด ทารกรับรู้พลังงานของแม่อย่างละเอียด ตั้งแต่ฮอร์โมน อารมณ์ ไปจนถึงเจตนารมณ์ เช่น แม่อยากให้เกิดหรือไม่ เป็นต้น ความรู้สึกไม่เป็นที่ต้องการ ความเครียดของแม่ ความกลัว หรือความรู้สึกผิด จะฝังลึกในร่างกายระดับอารมณ์และสนามพลังงานของทารก สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นพิมพ์เบื้องต้นของตัวตน เช่น ความกลัวหรือความขัดแย้งแบบไร้เหตุผล ความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบบางสิ่งอย่างไม่มีที่มา เป็นต้น


จิตในหลายระดับ (Levels of Mind)


จิตสำนึก (Conscious Mind)


คือส่วนหนึ่งของจิตโดยรวมที่รับรู้บรรยากาศทางพลังงาน ความคิด ความเชื่อ ของผู้คนบนโลกใบนี้ และของตัวเราเองในฐานะสมาชิกของโลกใบนี้ เป็นระดับจิตที่สามารถรับรู้ รู้ตัว และโต้ตอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอก ทำหน้าที่หลายอย่างเช่น คิดอย่างมีเหตุผล เลือกและตัดสินใจ รับรู้สิ่งรอบตัว เป็นต้น มีผลต่อพฤติกรรม การตัดสินใจ ความรู้สึก และความคิดที่เกิดขึ้นของเราในแต่ละวันเพียง 5-10% เท่านั้น


จิตใต้สำนึก (Subconscious Mind)


คือส่วนหนึ่งของจิตที่เป็นแหล่งเก็บประสบการณ์ ความเชื่อ ความรู้สึก และภาพจำในวัยเด็กที่ยังส่งผลต่อเรา เราอาจเชื่อว่าเราตัดสินใจด้วยเหตุผล (จิตสำนึก) แต่เบื้องหลังมักถูกขับเคลื่อนด้วยสิ่งที่ฝังอยู่ลึกโดยไม่รู้ตัว และกว่า 95% ของการใช้ชีวิตประจำวันมาจากจิตใต้สำนึก ทำให้เราทำงานโดยอัตโนมัติเหมือนหุ่นยนต์ที่เคลื่อนไหวตามโปรแกรมที่ตั้งไว้ ตัวอย่างเช่น เรามีความเชื่อว่า เด็กต้องเคารพผู้ใหญ่ เราจะรู้สึกดีกับเด็กที่นอบน้อม และไม่พอใจเด็กที่ก้าวร้าวอย่างอัตโนมัติ เราจะรู้สึกไม่พอใจก่อนโดยที่ยังไม่รับฟังเรื่องราวหรือเหตุผลด้วยซ้ำ เราจะกล่อมตัวเองว่ามันช่างสมเหตุสมผลที่เราจะรู้สึกไม่พอใจ โดยไม่ทันสังเกตุว่านี่คือเรื่องที่เราแต่งขึ้นในหัว ไม่ใช่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น


จิตไร้สำนึกส่วนบุคคล (Personal Unconscious)


คือชั้นของจิตที่เก็บข้อมูล ประสบการณ์ ความรู้สึก ความทรงจำ และแรงผลักดันต่าง ๆ ที่เราเคยพบเจอในชีวิตนี้และชีวิตในชาติภพก่อน ที่ไม่ได้อยู่ในการรับรู้ของเราตอนนี้(ไม่รู้ตัวว่ามี) หากไม่ตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ เราอาจแสดงออกโดยไม่รู้ตัว เช่น โทษผู้อื่น เสพติดความสัมพันธ์ หรือรู้สึกขัดแย้งในตัวเอง เป็นต้น จิตไร้สำนึกส่วนบุคคลเชื่อมโยงกับจิตไร้สำนึกมวลรวมซึ่งเป็นเหมือนแหล่งกลางที่มนุษย์ทุกคนแบ่งปันร่วมกัน


จิตเหนือสำนึก (Superconscious Mind / Higher Self)


คือส่วนลึกที่สุดของจิตที่รู้ว่าเราคือใครจริงๆ อยู่เพื่ออะไร และเดินทางมาทำอะไรบนโลกนี้ เป็นพื้นที่ของปัญญาญาณอันบริสุทธิ์ ความรักไร้เงื่อนไข และการเชื่อมโยงกับจิตวิญญาณระดับสูง จิตเหนือสำนึกไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยสมอง แต่สามารถเข้าถึงได้ผ่านการภาวนา การอยู่กับปัจจุบัน การเชื่อมโยงกับธรรมชาติ

มรดกทางพลังงานจากบรรพบุรุษและมวลรวม ที่เรารับมาโดยที่เราไม่รู้ตัว (Ancestral Karma & Collective Unconscious)



มรดกทางพลังงานจากบรรพบุรุษ (Ancestral Karma)


คือร่องรอยพลังงาน ความเชื่อ หรือความเจ็บปวดที่ส่งผ่านรุ่นสู่รุ่น ในสายเลือดครอบครัว ทั้งในระดับจิตใต้สำนึกและสนามพลังงาน มักรู้ตัวได้ยาก เนื่องจากมีความรู้สึกไปทางเดียวกันทั้งครอบครัว จนกลายเป็นความปกติ รูปแบบของมรดกทางพลังงานจากบรรพบุรุษ ได้แก่ พฤติกรรมที่ทำซ้ำในหลายรุ่น ความเชื่อจำกัดตัวเองที่ตกทอด ความเจ็บปวดที่ไม่ได้รับการเยียวยา ความรู้สึกผิด ความกลัว ความไม่คู่ควรโดยไม่มีเหตุผลชัดเจน โรคทางอารมณ์ หรือความสัมพันธ์ที่ล้มเหลวซ้ำๆ ในตระกูล เป็นต้น


มรดกทางพลังงานมวลรวม หรือ จิตไร้สำนึกมวลรวม (Collective Unconscious)


คือชั้นจิตใต้สำนึกที่เป็นส่วนรวมของมนุษยชาติ เป็นพื้นที่ที่เก็บรูปแบบพฤติกรรม และประสบการณ์ร่วมที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงปัจจุบัน กล่าวได้ว่าเป็นมรดกทางจิตวิญญาณและประสบการณ์จากบรรพบุรุษของมนุษย์ มีลักษณะไม่ขึ้นกับประสบการณ์ส่วนตัว ไม่สามารถเข้าถึงด้วยจิตสำนึกโดยตรง ส่งผลต่อพฤติกรรมและความคิดอย่างไม่รู้ตัว ทำให้มนุษย์ทั่วโลกมีสัญชาตญาณพื้นฐานคล้ายกัน เช่น ความกลัวความมืด ความรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่กับครอบครัว เป็นต้น

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ